ประโยชน์ของกีวี

ประโยชน์ของกีวี

กีวีถือเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายสูง ดังนี้

– เป็นแหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด

กีวีสีเขียวและกีวีโกลด์ หรือกีวีสีทอง กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดถ้าเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น เช่น ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่า กีวี หนึ่งผลมีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็น ได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งจะช่วยป้องกันไข้หวัด และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอแถมยังกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ

– อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรม จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%

– สุดยอดคุณค่าวิตามินอี

วิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยชะลอความแก่ ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อีกทั้งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่า กีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะกีวีทอง จะมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า

– เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์

ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่สามารถทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหาร รวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%

ประโยชน์จากผลไม้ ตระกูลเบอร์รี่

ประโยชน์จากผลไม้ ตระกูลเบอร์รี่


มี การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเบอร์รี่และโรคมะเร็ง ซึ่งผลที่ออกมาปรากฏว่า กรดผลไม้หลายชนิดมีฤทธิ์ยังยั้งเซลล์มะเร็งได้ และผลไม้จำพวกเบอร์รี่มีกรดชนิดนี้อยู่มาก นอกจากนี้เบอร์รี่ยังได้ขึ้นชื่อว่า เป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระตัวยงเลยทีเดียว

เบอร์รี่แต่ละชนิดจะมีผลดีต่อสุขภาพแตกต่างกันไปเล็กน้อย เช่น

บลูเบอร์รี่ ช่วยในเรื่องของดวงตา ป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกตา การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และลดน้ำตาลในเลือด ส่วนสตรอเบอร์รี่จะ เด่นด้านบำรุงทางเดินอาหาร เป็นต้น ซึ่งสรรพคุณโดยรวมของตระกูลเบอร์รี่ สารต้านอนุมูลที่หลากหลายจะช่วยเพิ่มการทำงานของหลอดเลือด ลดการอักเสบ รวมทั้งโรคทางระบบประสาทและสมอง


ส่วนมากการทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เป็นอาหารตามปกติจะไม่ส่งผลทางด้านสุขภาพ ยกเว้นในกรณีที่ต้องได้รับการผ่าตัด จะต้องงดบลูเบอร์รี่ก่อนการผ่าตัด 2 สัปดาห์ เพราะอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งการทานแบบตากแห้ง น้ำผลไม้ หรือแช่แข็ง อาจได้รับปริมาณน้ำตาลมาก ซึ่งส่งผลทำให้ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ และการนำไปประกอบอาหารที่ต้องผ่านความร้อน ก็จะทำให้ประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระลดลงอีกด้วย แนะนำให้ทานแบบสด ๆ น่าจะได้รับคุณค่าได้อย่างเต็มที่มากกว่า

ผลไม้ที่มีสารต้านมะเร็งสูง

ผลไม้ที่มีสารต้านมะเร็งสูง

กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง!

นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

ผลไม้เพื่อสุขภาพ
ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

2. มะเขือเทศราชินี

3. มะละกอสุก

4. กล้วยไข่

5. มะม่วงยายกล่ำ

6. มะปรางหวาน

7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง

8. มะยงชิด

9. มะม่วงเขียวเสวยสุก

10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย

1. แก้วมังกร

2. มะขามเทศ

3. มังคุด

4. ลิ้นจี่

5. สาลี่

10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1. ฝรั่งกลมสาลี่

2. ฝรั่งไร้เมล็ด

3. มะขามป้อม

4. มะขามเทศ

5. เงาะโรงเรียน

6. ลูกพลับ

7. สตรอเบอร์รี่

8. มะละกอสุก

9. ส้มโอขาว

10. แตงกวา

11. พุทราแอปเปิล

การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ

1. ขนุนหนัง

2. มะขามเทศ

3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ

4. มะเขือเทศราชินี

5. มะม่วงเขียวเสวยสุก

6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

7. มะม่วงยายกล่ำสุก

8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู

9. สตรอเบอร์รี่

10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี

ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี

ระวัง! 15 อาหารใกล้ตัว

ระวัง! 15 อาหารใกล้ตัว

1. ขนมปังปี๊บ

วาง ขายทั่วไปตั้งแต่ร้านโชห่วยจนถึงซูเปอร์สโตร์เลยทีเดียว หลายคนชะล่าใจว่าวางขายในห้างแล้วจะปลอดภัยกว่าร้านขายของชำ จะบอกว่าวางขายที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น เพราะกระบวนการผลิตขนมปังบรรจุปี๊บบางแห่งไม่มีคุณภาพ แถมบางรสอย่างเช่น ไส้สับปะรด แท้จริงแล้วผู้ผลิตบางเจ้าใช้มันแกวหรือพืชอื่นๆ กวนใส่น้ำตาลแทนสัปปะรดจริง แล้วใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย เพื่อลดต้นทุนอย่างน่าเกลียด

2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด

เชอ รี่สีแดงสีเขียว วางประดับเหนือครีมสีขาวบนขนมเค้ก เราเห็นทั่วไปตั้งแต่ร้านเบเกอรี่จนถึงร้านขายของชำที่ชอบรับมาขายจากแหล่ง ที่บางครั้งก็ไม่ระบุที่มา หากเป็นเชอรี่เชื่อมของจริงผลจะมีสีแดงเข้ม รสชาดหวานอมเปรี้ยวจากผลไม้แท้ๆ แต่บางเจ้ากลับนำมะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น แล้วย้อมสีแดง ซึ่งก็คือผงฟอกสีทำให้เกิดภาวะเสื่อมในไต

ขนมหวานของหวานบางอย่างที่ ไม่น่าเชื่อว่ายังจะใช้สารฟอกสีไปทำไม แต่ก็ใช้ไปแล้ว ก็อย่างเช่น มะม่วงกวน (แผ่นใสๆ) หรือยอดมะพร้าวขาวๆ ฉะนั้นต้องดูให้ดี

3. ซูชิในตลาดนัด

อาหาร พื้นๆ สัญชาติญี่ปุ่น แต่ดันมาขายดิบขายดีในเมืองไทย และเมื่อแพร่ขยายมาถึงตลาดนัด ซึ่งผู้ขายจะนำมาจากแหล่งผลิตใด วัตถุดิบคืออะไร ก็ไม่มีใครทราบ แต่พอถึงเวลาขายก็เอาออกจากกล่องพลาสติกมาวางกลางอากาศร้อนๆ แถมในตลาดนัดรู้กันอยู่ว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค เมื่อของสดบวกกับความร้อนและเชื้อแบคทีเรียในอากาศ ผู้ที่ซื้อไปรับประทานก็จะมีอาการท้องร่วงท้องเสียตามมา

4. เอแคลร์-ลูกชุบ

หรือ ขนมอะไรที่ต้องมีการปั้นๆ ถูๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย รวมถึงสีที่ใช้ซึ่งหลายเจ้าไม่้ได้ใช้สีผสมอาหาร ใครทานเข้าไปก็เตรียมใจรับสารตะกั่ว ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงเท่านั้น

5. ลูกอมสีประหลาด

ขึ้น ชื่อว่าลูกอมก็ไม่ใช่ของที่น่ารับประทาน เพราะรู้กันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าทานมากก็ทำให้ฟันผุและมีน้ำตาลสูง แต่ถ้าเจอลูกอมสีแปลกๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง สีจัดๆ สีเหล่านี้พ่อค้าแม่ค้าชอบนำมาขายเพราะเก็บไว้นาน สีไม่ซีด แต่อันตรายจากสีในลูกอมนั้นเต็มไปด้วยสารตะกั่วและโลหะหนัก ….แต่ทางที่ดีที่สุด หลีกเลี่ยงลูกอมทุกสี ทุกรส เพือ่สุขภาพที่ดีของปากและฟันเป็นดีที่สุด

6. อาหารทะเลปลายฤดูร้อน

ผู้ หลักผู้ใหญ่เึคยบอกไว้ว่าช่วงปลายหน้าร้อนเข้าหน้าฝนอย่าหาของทะเลกิน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะสภาพอากาศที่มีฝนแรกตกชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเล ซึ่งสัตว์ทะเลจะกินฝุ่นดินนี้เข้าไป ก็จะทำให้มีเชื้อไวรัส แบคทีเรีย มากกว่าปากติ ฉะนั้นโอกาสท้องเสียจึงมีสูง หากจะทานก็ควรล้างน้ำเกลือให้สะอาด เพื่อชะล้างฝุ่นดินโคลนออกเสีย

7.อาหารสำเร็จรูปไมโครเวฟ

อา หารแพ็คสำเร็จรูปเดี๋ยวนี้มีวางขายหลากหลายยี่ห้อ ตอบสนองพฤติกรรมการกินของคนรุ่นใหม่ที่รีบเร่งและเน้นสะดวก หลายคนยังมีแก่ใจห่วงใยสิ่งแวดล้อม ยอมเอาบรรจุภัณฑ์พลาสติกใส่อาหารล้างสะอาดเก็บไว้ใช้ต่อ แต่พลาสติกชนิดนี้ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนำกลับเข้าไมโครเวฟมากกว่า 1 ครั้ง เพราะเคมีในพลาสติกจะซึมสลายปะปนกับอาหาร สะสมในร่างกาย

8. โยเกิร์ตตามซูเปอร์มาร์เก็ต

จะ มาเดี่ยวๆ หรือมาเป็นแพ็ค แต่สังเกตกันบ้างหรือไม่ว่าโยเกิร์ตสมัยนี้ทำไมจึงผลิตออกมาได้มากมาย หลายรส หลายกลิ่น และทำไมหลายคนกินแล้วมีแต่อ้วนขึ้น! ก็เพราะผู้ผลิตบางเจ้าเติมแป้งลงไปเพื่อให้ได้ปริมาณและความข้น ขณะที่ผลไม้เชื่อมที่ใช้ก็ถูกสลายเกลือแร่และวิตามินซีไปนานแล้ว สิ่งที่ได้คือแป้งแต่งกลิ่นนมเปรี้ยว เติมสีและรสสังเคราะห์ ทำให้โยเกิร์ตมีราคาถูกนั่นเอง วิธีทดสอบง่ายๆ ลองหยดทิงเจอร์ไอโอดีนตามการทดลองวิทยาศาสตร์ตอนเด็กๆ ดู หากเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แปลว่าคุณเจอโยเกิร์ตแป้งเข้่าแล้ว

การทานโย เกิร์ตให้ได้รับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จากนม จึงควรเลือกแบบโฮมเมด มีรสและกลิ่นตามธรรมชาติของนม และรสธรรมชาติทานคู่กับผลไม้สด เมล็ดธัญญาหาร หรือน้ำผึ้ง จะได้รับประโยชน์เต็มๆ กว่า

9. น้ำปลาเปิดขวดแล้ว

ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน เพื่อป้องกันการวางไข่ของแมลงวัน และเชื้อโรคตามอากาศที่ปะปนอยู่ในขวด

10. ขวดซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ที่เปิดใช้แล้ว

แม้ จะเก็บไว้อย่างดีในตู้เย็น แต่หากเปิดใช้เหลือเกินกว่าวันที่ฉลากระบุ ก็ต้องจัดการทิ้งถังขยะ เพราะเชื้อราตามคอขวดซอสเหล่านี้ เติบโตเร็ว

11. กระดาษหนังสือพิมพ์

แม้ จะมีการลดจำนวนการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ในการห่ออาหาร แต่บางครั้งเราก็ยังเห็นแม่ค้านำมาห่อผักสด เข่งปลา วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป สารพิษจากหมึกจะปนเปื้อนในอาหารได้ ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะนำไปห่อผักแช่ตู้เย็น

12. อาหารกระป๋อง

ถ้าใช้ไม่หมดควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น เพราะอากาศจะเร่งปฏิกิริยาให้อาหารปนเปื้อนสารจากกระป๋องได้ง่าย

13. ฟองน้ำล้างจาน

ตาม ท่อ หรืออ่างล้างจาน เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ในฟองน้ำล้างจานก็เช่นกัน หากนำกลับมาใช้ซ้ำหลายๆ ครั้ง แบคทีเรียที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้จึงไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง หากต้องการกำจัดเบื้องต้น ก็มีเคล็ดลับง่ายๆ โดยนำฟองน้ำล้างจานไปแช่ในน้ำส้มสายชู แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ก็จะช่วยลดจำนวนแบคทีเรียที่อาจปะปนกับจานชามของเราได้ส่วนหนึ่ง….น่ากลัว จริงๆ นะ

14. อาหารหมักดอง

ใคร ที่ชอบทานอาหารหมักดองเป็นประจำต้องระวังให้ดี เชื้อไวรัสในอาหารหมักดองมีฤทธิ์มากพอที่จะทำลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะอาหารหมักดองที่ขายตามตลาด เช่น ผักกาดดองในกะละมังโรงงานบางแห่งจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด (โดยใช้คนลงไปนวดผักในอ่างดอง โดยที่เราไม่แน่ใจว่าคนนั้นๆ มีโรคติดต่อหรือไม่) หากจะนำผักกาดดองไปปรุงอาหาร ควรเลือกผักกาดดองกระป๋อง หรือบรรจุซองที่ซีลแน่นหนา สะอาด ไม่รั่ว ไม่บุบ ไม่แตก

15. เบียร์สด

บาง คนอาจคิดไม่ถึง แต่เบียร์สดจะมีกรรมวิธีการผลิตแตกต่างจากเบียร์บรรจุขวด นั่นก็คือเบียร์สดจะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้ว ก็อาจจะทำให้ได้รับซากยีสต์จากการดื่มด้วย ซึ่งต้องระมัดระวังหากใครมีปัญหาเรื่องภูมิต้านทานแบคทีเรีย

10 สัญญาณเตือนบอกอาการขาดแร่ธาตุ

10 สัญญาณเตือนบอกอาการขาดแร่ธาตุ

การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ทำได้ไม่ยาก แต่หากทานไปแล้วร่างกายของคุณเกิดมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเป็นผดผื่น คัน ผิวหนังลอกเป็นขุยแล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่ วันนี้เราจึงนำ สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมาฝากกัน

1. ผิวหนังมีปัญหา เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ ขาดวิตามิน A

ผัก และผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้

2.ผมไม่เงางาม ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการ ขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคนที่จำกัดอาหารอย่างมาก

ดัง นั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ส่วนคนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่วเหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน

3.ท้องผูก เป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย4.ผายลมบ่อย แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็วเกินไป เช่น กินถั่ว หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณจะผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ

วิธี แก้ปัญหาคือค่อย ๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียงวันละ 10 กรัม อย่าเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม

5.ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ อย่า เพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกินปลาน้อยเกินไป ทำให้ ขาดกรดไขมันประเภทโอเมก้า- 3 ที่พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและปวดบริเวณข้อต่อ

6.สเปิร์มน้อยลงไปมาก ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไปได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

จากการศึกษาพบว่า วิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ ด้าน

7.หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน คงไม่สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะ ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียมหรือโปแตสเซียม

สำหรับ โปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแม็กนีเซียม ให้ทานอาหารว่างที่เป็นพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง และผักโขม เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ

8.ปวดเหงือก ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่า ปากของคุณกำลังต้องการ แบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียในปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วงเช้าของทุก วัน9.กระดูกแตก ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูกของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการ ขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็นตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ดี)

10.  ขี้ลืม อาจเป็นได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B6 B12 และ B folate สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดีกว่า

จาก การทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่ และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B6 และโฟเลต มากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการขาดวิตามิน B12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล

หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด แล้วจะรู้ว่าร่างกายตัวเองต้องการอะไร