LEADER TIME MAGAZINE : ถึงแม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะมีบริษัทในธุรกิจเครือข่ายกว่า 500 ราย แต่ในจำนวนนี้ทั้งหมดมีเพียง 13 บริษัทเท่านั้นที่เป็นบริษัทเครือข่ายคุณภาพและได้รับการยอมรับจากสังคมในวงกว้างและยินดีทุ่มเม็ดเงินเพื่อซื้อสินค้ากิน-ใช้ ในแต่ละเดือนอย่างมหาศาลส่งผลให้บริษัทเหล่านี้กลายเป็นบริษัทเครือข่ายผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดไว้ในมือนับพันล้าน/หลายพันล้านกันเลยทีเดียว
LEADER TIME MAGAZINE ได้จัดอันดับบริษัทเครือข่ายขายตรงที่มียอดขายระดับพันล้านประำจำปี 2552 มีทั้งสิ้น 13 บริษัท คิดเป็นมูลค่าตลาดรวม 46,545 ล้านบาท
หมายเหตุ MLM:Multi Level Marketing, SLM: Single Level Marketing, Binary: แบบจับคู่จ่าย
บริษัทเครือข่ายที่เติบโตสูงที่สุดอันดับหนึ่งปีนี้คือค่าย “ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย)” หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้อย่างไร!
แต่ถ้าคุณได้รู้ว่าในปี’52 ยูนิซิตี้ทำยอดขายถล่มทะลายสูงถึง 2,500 ล้านบาทแล้วคงเกิดอาการหนาวๆ ร้อนๆ กันถ้วนหน้า และยิ่งถ้าได้รู้ว่าในยอดขายในปี’51 ที่ผ่านมา “ค่ายยูนิซิตี้” มียอดขายอยู่เพียงแค่ 820 ล้านบาทเท่านั้น สรุปแล้วปีนี้ค่ายยูนิซิตี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 1,680 ล้านบาท เป็นตัวเลขการเติบโต “ข้ามปีที่เพิ่มขึ้น” อย่างมากมายมหาศาล ซึ่งบ่งบอกให้เห็นได้ว่าปีนี้แม่ทีมและสมาชิกนักธุรกิจยูนิซิตี้ทำงานกันเต็มกำลังความสามารถเพื่อสร้างสถิติหน้าใหม่ให้เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยกันเลยทีเดียว
Leader Time ยังวิเคราะห์ต่อไปว่า จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่าส่วนหนึงมาจาก “ระบบยูนิเพาเวอร์ (Unipower System)” โดยมีผู้นำระบบอย่าง “ชวิช คิม” ทำให้เกิดพลังช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตแบบทวีคูณทุกเดือนเชื่อว่าอันดับของยูนิซิตี้น่าจะขยับขึ้นอีก 1 อันดับจากปีที่แล้วขึ้นเป็นอันดับ 2 ของบริษัทธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายในประเทศบริษัทข้ามชาติ (Network Inter) ในที่สุด
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตอีกหลายปัจจัย ไม่ว่าเป็นวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร รวมถึงโปรโมชั่น กลยุทธ์ทางการตลาดที่แรงและโดนใจนักธุรกิจ และผลิตภัณฑ์ของยูนิซิตี้ที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมานี้เมื่อนำมาประกอบกันทำให้เกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดดของยูนิซิตี้ในปี 2552
รวบรวมโดย LEADER TIME MAGAZINE / *หน่วย : ล้านบาท
อ้างอิงข้อมูลตัวเลขปี 2549-2551 จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
และตัวเลขประมาณการปี 2552 จากผู้ประกอบการ
ข้อมูลข้างต้นอ้างอิงมาบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับยูนิซิตี้เท่านั้น ส่วนข้อมูลรายละเอียดของบริษัทอื่นๆ มีสรุปไว้ใน LEADER TIME MAGAZINE อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งเหมาะมากสำหรับนักธุรกิจเครือข่ายจะมีไว้เพื่อทำการอ้างอิงและปิดการขายได้ตลอดทั้งปี
ที่มา: LEADER TIME MAGAZINE ปีที่ 10 ฉบับที่ 110 เดือนมกราคม 2553
เปิดบัญชีเหล่าค่ายขายตรงระดับท็อปหลังปิดตลาดปีวัว แอมเวย์ยังคงผงาดครองแชมป์ รองลงมาเป็น มิสทิน, กิฟฟารีน ตามลำดับ เหล่าบริษัทหน้าใหม่ตบเท้าช่วยกันเขย่าวงการ ชี้แค่ 13 บริษัท จับกลุ่มฟันเงินเข้ากระเป๋าเฉียด 5 หมื่นล้าน
หลังจากต่อสู้ด้วย กลยุทธ์การตลาดมาหนึ่งปีเต็ม ในช่วงปีวัวที่ผ่านมา ถึงเวลาที่เหล่าบริษัทขายตรงน้อยใหญ่ต้องเปิดบัญชีรายรับมาอวดกันตามประสา คนรวย โดยดูเหมือนว่าท่ามกลาง เศรษฐกิจที่ซบเซาแต่วงการนี้กลับเฟื่องฟูแบบสวนกระแส แต่บริษัทใดจะสามารถเก็บเกี่ยวได้มากน้อยอย่างไร คงต้องดูกัน
> แอมเวย์ ครองแชมป์งดงาม
ยัง คงเป็นบริษัทขายตรงเบอร์หนึ่ง เช่นเดิม สำหรับ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่สามารถปิดยอด ขายปี 52 ที่ผ่านมา ได้อย่างเป็นเอกฉันท์ ด้วยตัวเลข 1.37 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อ มองไปที่การคว้าแชมป์ของแอมเวย์นั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรผิดคาดประการใด เนื่องจากบริษัทขายตรงยี่ห้อนี้ เป็นบริษัทที่ไร้คู่ชกที่จะต่อกรแบบสูสีมานาน
ด้วยความเป็นบริษัท ที่มาจากประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา หรือเปล่าที่ทำให้แอมเวย์เป็นที่นิยมชมชอบของเหล่าผู้บริโภคชาวไทย แต่สิ่งที่เด่นชัดนั่นก็คือการวางกลยุทธ์การตลาดที่มักมีอะไรมานำเสนออยู่ ตลอด โดยตลอดเวลาที่แอมเวย์เข้ามาสร้างฐานทัพในไทย บริษัทนี้ก็จะพยายามที่จะใช้สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ รวมถึงสื่อโทรทัศน์ ในการสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคโดยตลอด นี่อาจเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ แอมเวย์ครองแชมป์ด้านยอดขายมาอย่างยาวนาน
การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ใน ปีที่ผ่านมา อย่าง ARTISTRY ที่ได้ทำ การผุดผลิตภัณฑ์ ARTISTRY TIME DEFIANCE LIFTING EYE CREAM นวัตกรรมการลดเลือนริ้วรอย ผิวรอบดวงตา ที่บริษัทวางเป้ายอดขายทั้งปี 52 ไว้ที่ 80 ล้านบาท ซึ่งหากรวมกับผลิตภัณฑ์อื่นในหมวด ARTISTRY ก็จะดันยอดขายกลุ่มนี้ได้ถึง 3 พันล้านบาท
ไม่เพียงเท่านี้ แต่แอมเวย์ยังมีการ ฉลอง 75 ปี ผลิตภัณฑ์นิวทริไลท์ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ โดยได้ทำการจัดแถลงข่าว และ โหมโฆษณาตามช่องทางต่างๆ จนทำให้หมวดผลิตภัณฑ์นี้ เป็นอีกหนึ่งขุนพลสำคัญที่ดึงยอดขายของบริษัทขึ้น อย่าง เป็นประวัติการณ์
หากเทียบการเติบโตในปี 2551 แอมเวย์ปิดยอดขายอยู่เกือบ 1.1 หมื่น ล้านบาท ส่วนปี 2552 สามารถปิดยอด ได้ถึง 1.37 หมื่นล้านบาท หรือเทียบเป็นการเติบโตอยู่ที่ 17% และหากมองย้อนหลังไป บริษัทก็มียอดการขยาย ตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้หลายบริษัทที่ทำธุรกิจขายตรง รู้สึกเบื่อหน่ายกับการแข่งขันกับแชมป์ผู้นี้แล้วเหลือเกิน
> ดึงเพชราสร้างยอด เข้าป้ายเบอร์ 2
สร้าง ความฮือฮาไปทั่วสำหรับ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ มิสทิน ที่ทำการดึงนางเอกตลอดกาลอย่าง เพชรา เชาวราษฎร์ ซึ่งห่างหายจากวงการไปกว่า 30 ปี จากปัญหาทางสายตา ออกมาเล่นโฆษณาให้กับบริษัท ถึงแม้จะเป็นโฆษณาทางทีวีที่ค่อนข้างสั้นแต่มิสทินก็สามารถปลุกกระแสให้ผู้ บริโภคเกิดความสนใจบริษัทได้อย่างท่วมท้น
ไม่เพียงเท่านี้ ที่ทำให้มิสทินยืนหยัดอยู่บนแท่นอันดับสองของบริษัทขายตรงเมืองไทย ในเรื่องของยอดขาย แต่มิสทินยังเปลี่ยนกลยุทธ์จากเดิมที่มักโฆษณาผ่านสื่อเพื่อหาสมาชิกนักขาย มาเป็นโฆษณาสร้างแบรนด์รวมถึงการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของบริษัท ด้วยการดึงดารานักแสดงผู้มีชื่อเสียงมาเป็นพรี-เซ็นเตอร์ให้กับบริษัท
โดย ในปีที่ผ่านมา มิสทินปิดยอดขายอยู่ที่ 8.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 45% เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่ปิดยอดขายอยู่ที่ 6 พันล้านบาท
ทั้งนี้ จากการเติบโตที่กล่าวมา ที่ทำให้มิสทินเข้าป้ายเป็นที่สองยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ นั่นคือการออกแค็ตตาล็อกฟรายเดย์ ที่ทำให้การสั่งสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ เพราะผู้บริโภคมีความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น
> กิฟฟารีน เชิดหน้า รับเหรียญทองแดง
บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ภายใต้การกุมบังเหียนของ ผู้บริหารหญิง ที่กวาดรางวัลนักบริหาร มาทั่วสารทิศอย่าง พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ สามารถปิดยอดขายปีที่ผ่านมาได้อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท วิ่งแตะเข้าเส้นเป็นอันดับสามได้อย่างน่าภาคภูมิ
เนื่องจากบริษัทนี้ เป็นบริษัทขายตรงสัญชาติไทย ซึ่งทำการลุยตลาดอย่าง หนักมาตั้งแต่ต้นปี โดยเน้นไปที่การสร้างแบรนด์ให้เป็นแบรนด์ขายตรงสำหรับ คนรุ่นใหม่ผู้ร้อนวิชา โดยในช่วงปลาย ปี 52 ยังได้จัดโครงการสร้างแบรนด์ กิฟฟารีน ที่เปิดโอกาสให้เหล่านักศึกษา ในรั้วมหาวิทยาลัย ได้ส่งผลงานการสร้าง แบรนด์ชิงเงินรางวัลหลักแสน ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่กิฟฟารีนพยายามดึงคนรุ่นใหม่เข้าระบบขายตรงมาก ขึ้น
จากอัตราการเติบโต 10% ตามที่กล่าวมาในส่วนของยอดขายเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 ที่ทำได้ 3.9 พันล้านบาทนั้น ส่วนหนึ่งต้องยกผลประโยชน์การสร้างแบรนด์ ที่เป็นปัจจัยดึงสมาชิกหน้าใหม่เข้ามาเสริมทัพได้อย่างเป็นปรากฏการณ์ ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี ที่มีสมาชิกเกิดใหม่ถึง 1.8 แสนรหัส สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ดึงยอดขายให้กับบริษัทลูกหม้อไทย
> l4 บริษัทชิงท็อปไฟว์ ฝุ่นตลบ
ยัง คงแรงอย่างต่อเนื่อง สำหรับ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด ที่สามารถปิดตลาดปีโคได้ถึง 3.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 24% เมื่อเทียบกับปี 51 ที่ปิดตลาดที่ 2.8 พันล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากมายนักสำหรับขายตรงค่ายนี้
จาก ตัวเลขที่กล่าวมา ดันให้ซูเลียนกลายเป็นบริษัทอันดับที่สี่ในด้านยอดขาย ส่วนหนึ่งที่ทำให้ค่ายขายตรงนี้เข้ามายืนอยู่ที่อันดับสาม เพราะการเปิดตัวของเหล่าเอเจนซีที่มีกว่า 200 แห่งทั่วประเทศในปัจจุบัน และยังมีทีท่าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต นี่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ซูเลียนกลายเป็นยักษ์ตัวใหม่แห่งวงการ
ขยับ มาที่อันดับ 5 ของปี 52 ก็เป็นของ บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่สามารถปิดยอดขายได้อยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท เทียบอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% เมื่อเทียบกับปี 51 ที่ปิดได้อยู่ที่เกือบ 2.4 พันล้านบาท
ซึ่งเป็นการเติบโตที่ไม่มากนัก เนื่องจากปัญหาต่างที่รุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ และการเมือง จนทำให้การเติบโตเป็นไปไม่ได้ดั่งใจนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการขยายตัวที่ยอมรับได้สำหรับผู้บริหาร เนื่องจากคาดคะเนก่อนหน้านี้ไว้แล้วว่า การเติบโตในปี 52 คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก แต่ก็พยายามที่จะสร้างยอดให้มากว่าปีที่ผ่านมา
ตาม มาติดๆ กับบริษัทขายตรงข้ามชาติรายใหม่แห่งวงการ บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ที่สามารสร้างการเติบโตได้ถึง 200% คิดเป็นเงิน 2.5 พันล้านบาท โดยตัวเลขที่ปิดไว้ในปี 51 นั้นอยู่ที่ 820 ล้านบาท
ด้วยกลยุทธ์รวมถึงวิสัยทัศน์ ของเหล่าผู้นำที่ทำให้บริษัทนี้กระโดดแตะป้ายมาอยู่ที่อันดับ 6 ในปีที่ผ่านมา จนเริ่มส่งความสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ ว่าคงมีปีใดที่ขายตรงแบรนด์นี้ จะสามารถกลายเป็นบริษัทที่ทำให้ยักษ์ใหญ่รายเก่าๆ ต้องตกแท่นเลยก็เป็นได้
อีก หนึ่งบริษัทที่กระโดดเข้าป้ายอย่างน่าตกตะลึงนั่นคือ บริษัท เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด โดยในปี 2551 ทำยอดขายไว้ที่ 398 ล้านบาท แต่ในปี 52 ที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้ถึง 2 พันล้านบาทคิดเป็นอัตราการเติบโตได้ถึง 400% ซึ่งเป็นการสั่นสะเทือนวงการได้อีกครั้งของบริษัทหน้าใหม่
> อีก 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ชูคอติด 1 ใน 10
บริษัท นีโอไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กับการเป็นบริษัทขายตรง ขวัญใจมหาชน ที่สามารถสร้างอัตราการเติบโตได้ถึง 54% ปิดยอดขาย ปี 52 อยู่ที่ 1.85 พันล้านบาท โดยปี 2551 ปิดยอดไว้ที่ 215 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างดี ท่ามกลางเศรษฐกิจที่แปรปรวน
ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะการรุกตลาดเข้าสื่อมากขึ้น ทั้งยังได้มีการจัดตั้ง “นีโอ ทีวี” ที่เป็นช่องทางการเข้าถึงเหล่าสมาชิก รวมถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีขึ้น โดยบริษัทพยายาม ที่จะโหมทำตลาดช่องทางนี้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
อันดับ 9 เป็นของ บริษัท แสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด หรือ ที่รู้จักกันทั่วในนามของ “หมอเส็ง” ที่ได้ทำการทุ่มทุนสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่กว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นอาคารที่จะสร้างความครบวงจรให้เกิดขึ้นกับบริษัท ทั้งยังมีโรงงานในพื้นที่อีกด้วย
หมอเส็ง ขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จักมานานในการเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย ยาสมุนไพรต่างๆ อีกทั้งยังเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วไป จนดันยอดขายในปี 52 ให้ขึ้นไปแตะอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท เติบโตกว่าปี 51 ถึง 30% ซึ่งในปี 2551 มียอดขายอยู่ที่ 266 ล้านบาท
ส่วนอันดับสุดท้ายในตารางท็อปเท็น เป็นของ บริษัท ไลฟ์สไตล์ แปซิฟิค ริม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จำหน่ายยาสมุนไพรแบรนด์อินทรา ที่สามารถปั่นยอดในปี 52 ได้อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 50% เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่ปิดยอดไว้ที่ 585 ล้านบาท
> จับตาบริษัทพันล้าน
นอก เหนือจาก 10 อันดับในเรื่องของยอดขายที่เหล่าบริษัทขายตรงทำได้ในปีที่ผ่านมา ยังมีอีก 3 บริษัทที่มียอดขายในระดับพันล้าน ทั้งยังเป็นบริษัทที่น่าจับตามองในปี 53 นี้ นั่นคือ บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปิดตลาดปี 52 ไว้ที่ 1.47 พันล้านบาทมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 15% จากปี 51 ที่ปิดไว้ที่ 1.14 พันล้านบาท รองลงมาคือบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่จอเก๋าอย่าง บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่เปลี่ยนชื่อจากเดิมคือ “เจริญโอสถ” โดยปิดตลาดปีวัวที่ 1.2 พันล้านบาท โต 15% เมื่อเทียบกับปี 51 ซึ่งเป็น ผลมาจากการเปิดศูนย์จำหน่ายสินค้า ของบริษัท ภายใต้ชื่อ “จอยมาร์ท” ที่ทำให้สินค้าของบริษัทเข้าถึงผู้บริโภค มากขึ้น
บริษัท เอเจล เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทขายตรงเชื้อสายสหรัฐอเมริกา จัดเป็นบริษัทน้องใหม่สำหรับขายตรงไทยที่เข้ามาปักธงรบในประเทศไทยยังไม่ถึง 2 ปีดีก็สามารถทำยอดขายในหลักพันล้านเป็นที่เรียบร้อย โดยปิดไว้ที่ 1.1 พันล้านบาทในปี 52 โตกว่าปี 51 ถึง 130% ที่ปิดอยู่ที่ 448 ล้านบาท
ทั้งนี้ การขยายตัวของเหล่าบริษัทขายตรงดังที่กล่าวมา ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะการที่เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน จนส่งผลกระทบมาที่ประเทศ ไทย และทำให้คนตกงาน นำไปสู่การ หาธุรกิจที่มีรายได้แต่ไม่มีข้อจำกัดในการสมัครมากนัก จนทำให้ธุรกิจประเภทนี้ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา
ความเห็นล่าสุด