ผลลัพธ์แห่งความสำเร็จกับ Unicty

“ยูนิซิตี้” ได้ออกอาวุธใหม่ประำจำเดือนมีนาคม 2553 ด้วยภาพผลลัพธ์แห่งความสำเร็จใน BUSINESS OWNER MAGAZINE ฉบับเดือนมีนาคม 2553

นำขบวนด้วย Lamborghini LP560-4 Spyder สีเหลือง ราคาร่วม 40 ล้านบาท และ Porsche Boxster สีเหลือง ของ Presidential Triple Diamond คุณรสา คำแบน, Porsche สีแดงของ Presidential Diamond คุณพัตร์ชัย เรือนสิทธิ์ และ Porsche สีดำของ Presidential Diamond คุณภาวดล นาสารีรัตน์ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นรถที่บริษัทแจกให้ฟรี! ตามแผนการตลาดที่สุดยอดที่สุดของโลก

ตามด้วยขบวนเบ็นซ์ของของเหล่า Presidential ทั้งหลาย ที่ยกกันมาร่วมขบวนไม่ว่าจะเป็น SLK, E-Class, C-Class รวมถึง BMW Z4 ด้วย ซึ่งผลลัพธ์เหล่านี้เกิดขึ้นจากรายได้ในการทำธุรกิจโดยไม่ต้องอาศัย “กองทุน” ซึ่งสามารถใช้แทนคำพูดถึงความสำเร็จของนักธุรกิจ “ยูนิซิตี้” ได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องให้เสียเวลาสงสัย

ผลลัพธ์นี้ตีพิมพ์ใน Business Owner Magazine Vol. 10 No. 113 March 2010 เชื่อว่าระบบยูนิเพาเวอร์คงจะจัดทำออกมาให้นักธุรกิจได้เป็นเครื่องมือในการขายผลลัพธ์ในเร็วๆ นี้

นักธุรกิจเครือข่ายผู้มีรายได้มากที่สุดในประเทศไทย

คุณ โจ ชวิช กิม ผู้นำแห่ง Unicity ได้ถูกจััดอันดับให้เป็นผู้ที่มีรายได้สูงสุด จากธุรกิจเครือข่าย และใช้เวลาสั้นที่สุดในบรรดาธุรกิจอื่นๆ
นี่คงเป็นบทสรุปได้เเล้วว่า ทั้งแผนการตลาด ผลิตภัณฑ์ และ ระบบ Unipower จะทำให้นักธุรกิจ Unicity ประสบความสำเร็จได้รวดเร็วกว่าบรรดาธุรกิจเครือข่ายอื่นๆ แน่นอน
คุณชวิช กิม ปัจจุบัน มีรายได้ 12 ล้านบาท ต่อเดือน (รายได้สูงที่สุดจากผู้ที่ทำธุรกิจเครือข่าย) เป็นแผนการตลาดที่ไม่มี Break Away คือเมื่อทำถึงจุดที่สูงสุดคือ Presidential Dimond ที่มีรายได้เดือนละ 4 ล้านบาท แล้ว แต่รายได้ยังไม่หยุด และยังสามารถ ทะยานสู่การเป็น triple Dimond ที่มีรายได้เดือนละ 8-12 ล้านบาทได้

ทำไมคุณหมอแนะนำอาหารเสริม

ทุกวันนี้คนเราเจอกับมลภาวะตั้งแต่อากาศที่หายใจ อาหารที่รับประทาน น้ำที่ดื่มทุกวัน ก่อให้เกิดปัญหาอนุมูลอิสระสะสมในร่างกายเป็นประจำทุกวันแบบไม่รู้ตัว หนำซ้ำอาวุธที่มนุษย์ มีไว้ต่อต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติก็ร่อยหรอลงไปทุกที จะหาผักผลไม้ปลอดสารพิษได้จากที่ไหน ? แร่ธาตุต่างๆในดินที่ลดลงไปเรื่อยๆ จะทำให้ผลไม้มีคุณค่าเพียงพอได้อีกกี่ปี? เศรษฐกิจซบเงินซื้อผลไม้ก็ดูจะกลายเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับบางครอบครัว หลากหลายปัญหาที่ทำให้มนุษย์เป็นโรคเสื่อม ทั้งเกิดจากภายนอกและจากภายในคือความเครียดจากการทำงานก็ก่อให้เกิดปัญหากับระบบร่างกายเช่นเดียวกัน วันนี้อาจจะยังแข็งแรงอยู่ แต่ทุกอย่างมันกำลังก่อร่างสร้างตัวอยู่ในร่างกายของคุณนั่นเอง เมื่อใดเม็ดเลือดขาวแพ้ เมื่อนั้นก็จะแสดงอาการออกมา สารอาหารบำบัดหรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” นั้นดูหลายคนจะขยาดและอยากวิ่งหนีเมื่อได้ยินคำนี้เพราะทราบว่าต้องเสียเงิน  จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ในการป้องกันเราจากโรคเสื่อมต่างๆ ที่มีอันดับการตาย เป็นอันดับ 1-10 อยู่ทุกๆ ปี เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคไขข้อ โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคเบาหวาน ฯลฯ อีกสารพัด สาเหตุหลักที่เกิดโรคพวกนี้ขึ้นก็เพราะ “เซลล์อ่อนแอ” หรือ “เซลล์ขาดอ๊อกซิเจน” เพราะต้องสู้รบกับอนุมูลอิสระไม่ไหวนั่นเอง จึงเป็นสาเหตุที่เราต้องมอง “สารอาหารบำบัด” เพื่อป้องกันโรคเสื่อม ที่สะสมอยู่ในร่างกาย

ทำไมต้องใช้สารอาหารบำบัด ?
นพ.เรย์ ดี สแตรนด์ (Ray D. Strand, M.D.) ทำการวิจัยเกือบ 10 ปี
พบว่า คุณประโยชน์ของ “สารอาหารบำบัด” ที่มี คุณภาพสูง สามารถช่วยให้ร่างกายมีสมรรถภาพต่างๆ คือ

1. เพิ่มภูมิต้านทานโรค

2. เพิ่มศักยภาพให้ Antioxidant สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสื่อม ความชรา และมะเร็ง

3. ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคลมปัจจุบัน มะเร็ง ข้ออักเสบ ความเสื่อม ต้อกระจก อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน หืด โรคปอด โรคจากความเสื่อมเรื้อรัง

4. ช่วยรักษาโรคที่มีความเสื่อมเรื้อรัง

จริงอยู่…คุณหมอบางท่านอาจจะบอกว่า “ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ก็พอแล้ว” ถูกต้อง พอแน่นอนถ้าคุณรู้ว่าต้องทานอย่างไร ในปริมาณเท่าไร แต่ทุกวันนี้ คุณหมอบอกต่อหรือเปล่าว่า ต้องทานมาก-น้อยแค่ไหน ? ถ้าไม่ทราบ..ลองตอบคำถามเหล่านี้ดู

ถ้า…คุณตอบว่า ใช่ ในข้อใดข้อหนึ่ง คุณสมควรกิน “สารบำบัด”

1. คุณไม่ได้กินอาหารดีๆ มีประโยชน์ทุกมื้อ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก และผลไม้สดอินทรีย์ (ไร้สารพิษ 100%) เต้าหู้ สาหร่ายทะเล ปลา และอาหารทะเลไร้สารพิษ เป็นต้น

2. คุณไม่ได้ทานผักครบ 5 สีทุกมื้อ หรือทานผักผลไม้ครบ 2 กิโลกรัมทุกวัน (หรือ 80% ใน 1 วัน)

3. คุณทานอาหารเป็นประเภททอด ปิ้ง ย่าง ผัด เป็นส่วนใหญ่ และใช้ความร้อนกับน้ามันพืชเกิน 60˚C (ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระมหาศาลตั้งแต่กระบวนการทำอาหาร จนถึงรับประทานเข้าไป)

4. คุณไม่ได้ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งขึ้นไป

5. คุณอยากมี “สุขภาพดี 120 ปี ไม่มีป่วย” หรืออยากมีสุขภาพดี ดูดี อ่อนกว่าวัย 10- 30 ปี

อายุ40 ปี  เริ่มมีโรคเริ่มพบแพทย์
อายุ50 ปี  มีโรคเรื้อรังเช่น  โรคหัวใจเบาหวาน  ความดันโลหิตสูงต้องกินยาตลอดชีวิต
อายุ60 ปี  ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นมะเร็งหรือผ่าตัดเสียเงินอีกหลายแสนบาท
อายุ70 ปี  ต้องนอนโรงพยาบาลนาน  2 – 3 เดือนหรือนอนICU
อายุ80 ปี  พิการอัมพาตนอนบนเตียงตลอดชีวิตหรือตาย

จริงๆแล้วคุณสามารถป้องกันได้ทั้งหมดด้วยการดูแลเซลให้แข็งแรงอยู่เสมอกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้คอยต่อต้านอนุมูลอิสระไม่ให้ส่วนไหนของร่างกายอ่อนแอแต่จะทำได้”สารอาหารบำบัด” จึงจำเป็น

เหตุผลในการเลือกกินผลิตภัณฑ์”สารอาหารบำบัด” ของคนทั่วไป  5 อันดับแรก

1. ดีต่อสุขภาพ  25.5 %

2. แข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย  24.0 %

3. มีภูมิต้านทานโรค  12.5 %

4. มีประโยชน์ต่อร่างกาย  9.0 %

5. ไม่อยากอ้วน/ ควบคุมน้ำหนัก  4.0 %

ดร. เรย์ ดี เเสตรนด์

มักเเนะนาให้ผู้ประสบภาวะป่วยเรื้อรังได้บริโภคสารอาหารที่จำเป็นกับเซลล์เเละเนื้อเยื่อในระดับที่เหมาะสมเพื่อหยุดกระบวนการอักเสบ  ดังนั้นร่างกายควรจะได้รับวิตามินอีในระดับสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้คอลเลสเตอรอลLDL เพื่อป้องกันผลจากการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น  รวมถึงต้องได้รับวิตามินซีในระดับที่เหมาะสมเพื่อป้องกันendothelium จากการถูกทาลายเเละเพื่อสร้างวิตามินอีเเละglutathione เบต้า-เเคโรทีนเเละเเคโรทีนต่างๆที่จาเป็นในการปกป้องหรือขัดขวางเพื่อหน่วงกระบวนการเกิดเหล่านี้ให้เกิดขึ้นน้อยลงหรือไม่เกิดเลยทั้งนี้เพื่อให้ภายในเซลล์ของทุกๆคนมีระดับของglutathione เพิ่มมากขึ้นด้วยการเสริมสารอาหารต่างๆเหล่านี้ให้เเก่ร่างกายก่อนอาทิเช่น  วิตามินบี2 N-acetyl-L-cysteine เเละอื่นๆเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกลุ่มระบบไหลเวียนโลหิตหรือหลอดเลือดหัวใจ

ดร. เรย์ดีเเสตรนด์กล่าวอีกว่าสารอาหารเหล่านี้จำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อที่จะกำจัดหรือลดอาการอักเสบของหลอดเลือดเเละการปรับสมดุลของโลหิตดังนั้นผลสำเร็จจากการบริโภคสารอาหารต่างๆเหล่านี้เป็นอาหารเสริมคือกุญเเจสู่การบาบัดโรคได้อย่างหนึ่งเเละเหตุผลเหล่านี้เองการบำบัดในระดับหน่วยเซลล์จึงมีความสำคัญกับร่างกายอย่างยิ่งการมีร่างกายที่สมบูรณ์เเข็งเเรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นความสุขที่เราสามารถหาได้ด้วยการดูแลรักษาร่างกายลดเหตุปัจจัยในการก่อให้เกิดโรคต่างๆนายแพทย์เรย์ดีแสตรนด์(Ray D. Strand) ผู้เขียนหนังสือ……. “ What your Doctor doesn‟ know about Nutritional Medicine…May be Killing you”

ได้ทำการวิจัยและมีประสบการณ์รักษาผู้ป่วยมานานได้ชี้ให้เห็นว่าอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเป็นตัวทำลายเซลล์ให้เสื่อมลงและก่อให้เกิดโรคภัยมากกว่า70 ชนิดเหตุปัจจัยในการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายได้แก่………. มลภาวะปนเปื้อนในอาหารน้าอากาศความเครียดสะสมการออกําลังหรือใช้แรงงานมากเกินพิกัดจะสังเกตได้ว่าปัจจัยต่างๆเหล่านี้หลายอย่างเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยแต่ดร. เรย์ดีแสตรนด์ได้อธิบายถึงวิธีต่อต้านอนุมูลอิสระและใช้หลักการบำบัดรักษาในระดับหน่วยเซลล์ซึ่งพบว่าวิธีนี้เป็นการรักษาด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพให้เซลล์ด้วยสารอาหารที่จะเป็นทางให้ผู้ป่วยหายจากโรคต่างๆหลายโรคมามากมายซึ่งยาเคมีที่ใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถกระทาการรักษาได้

นักวิทยาศาสตร์ที่ทางานวิจัยได้ค้นพบว่าต้นเหตุของการเป็นโรคต่างๆเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิตเช่นโรคหัวใจ ไตหอบหืด  ไขมันในเลือด ความดัน เบาหวาน สมองเสื่อม เเละอื่นๆ คือการอักเสบซึ่งส่งผลมาจาก oxiative stress ซึ่งเเพทย์เเละนักวิจัยมักจัดให้สารอาหารเหล่านี้อยู่ในจำพวกเดียวกับยา  นั่นหมายความว่าพวกเขาจะทำการทดสอบการตอบสนองของร่างกายต่อสารอาหารเพียงหนึ่งหรือสองชนิดต่อครั้งเพื่อพวกเขาจะได้เรียนรู้ถึงศักยภาพที่เเท้จริงของมัน  ด้วยเหตุนี้เเพทย์เเละนักวิจัยจึงพากันลังเลที่จะเเนะนำสารอาหารเฉพาะใดๆให้กับคนไข้ซึ่งมักเป็นข้อถกเถียงในวงการเเพทย์อยู่เสมอเเพทย์มักต้องการกำจัดข้อสงสัยที่มีอยู่กับการอาหารเเต่ละตัวว่าจะสามารถช่วยร่างกายได้จริงหรือไม่ทั้งที่ควรจะลงบันทึกเเละให้คำเเนะนำอาหารเสริมในรูปเเบบต่างๆดังนั้นพวกเขาจึงพลาดที่จะเข้าถึงความสำคัญทั้งหมดของสารอาหารที่สามารถบำบัดโรคเเละนั้นหมายถึงชีวิตของคุณเช่นกัน

ความจริงดังที่กล่าวมานี้นั้นหมายความถึงวิธีการที่การทำงานร่วมกันของสารต้านอนุมูลอิสระหากต้องการที่จะหยุดการเกิดoxidative stress ร่างกายจะต้องได้รับสารต้านอนุมูลอิสระที่เพียงพอ  เพื่อที่จะรับมือกับอนุมูลอิสระอีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับสารอาหารมาสนับสนุน  เพื่อให้ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเอาชนะ oxidative stress ที่เป็นพื้นฐานของสาเหตุของเซลล์ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระหรือโรคเสื่อมเรื้อรังซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมากกว่าเจ็ดสิบชนิดเเละเป็นสาเหตุการตายของมนุษย์ในปัจจุบัน

ที่มา : หนังสือเมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริมบำบัดโรค..ความตายอาจ..กำลังครอบงำคุณ

ยูนิซิตี้สร้างเศรษฐีใหม่ในประเทศไทย

คุณโจ ชวิทกิม

Presidential TIPPLE  Diamond คนแรกของโลกมีรายได้มากกว่า 160 ล้านบาทต่อปี (US$5,400,000)

สูงสุดอันดับ 1ของนักธุรกิจเครือข่ายในไทย อันดับ1ของUnicityทั่วโลก และอันดับ 5ของนักธุรกิจเคริอข่ายทั่วโลก
รับ Lambogini ฟรี มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท

คุณรสา คำแบน
Presidential Double Diamond หญิงคนแรกของโลก
มีรายได้มากกว่า  72 ล้านบาท ต่อปี

คุณพัฒร์ชัย เรือนสิทธิ์  Double Diamond
มีรายได้มากกว่า 72 ล้านบาท ต่อปี

คุณภาวดล นาสารีรัตน์ Diamond
มีรายได้มากกว่า 48 ล้านบาท ต่อปี

Unicity จ่ายผลตอบแทนมากที่่สุดในโลก

แผนการจ่ายผลตอบแทนของยูนิซิตี้ ถูกออกแบบมาให้ผู้ร่วมธุรกิจทุกคนสามารถสร้างรายได้ที่ชัดเจน แม้ในช่วงเริ่มต้น และสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงต่อเนื่องในระยะยาว ไร้กฎเกณฑ์ที่ซับซ้อน ง่ายต่อความเข้าใจและยุติธรรม

ยูนิซิตี้ จ่ายผลตอบแทนทั้งหมด 8 ทาง
จ่ายมากที่่สุดในโลก  และจ่ายอัตราแลกเปลี่ยน สูงที่สุดคือ 1$ = 42 บาท

แผนจ่ายผลตอบแทนทำง่าย ได้ผลตอบแทนเร็ว มั่นคงระยะยาว
และจ่ายมากที่สุดในโลก
1. Retail Sales
รายได้จากกำไรจากการจำหน่าย 25%
2. Extra Bonus
รายได้พิเศษจากการมีคะแนนสะสมในแฟรนไชน์
-101-250 คะแนน รับรายได้เพิ่มอีก 5%
– 251 คะแนนขึ้นไป รับรายได้สูงถึง 10%
รวม 1+2 รับรายได้สูงสุดถึง 35%
3. Franchise
รายได้จากการสร้างแฟรนไชน์ รับสูงสุดถึง 5%
4. รายได้จากการบริหารแฟรนไชน์
– รับสูงสุดถึง 5% ของยอดทั้งหมดของแฟรนไชน์
5. Fast Start Bonus
รายไ้ด้จากการแนะนำ ซึ่งให้สูงสุดถึง 30%
6. Leadership Bonus
รายได้จากยอดการขยายแฟรนไชน์ จ่ายสูงสุดถึง 42%
7. Easy Ship Program 162
รายได้จากการเข้าร่วมโปรแกรม Easy Ship  สามารถรับรายได้ตั้งแต่หลักหมื่น-ล้านบาท
8. รายได้จากการเปิดศูนย์กระจายสินค้าประจำจังหวัด
รับรายได้เพิ่มอีก 5% ของยอดขายทั้งหมด  (1 จังหวัดเปิดได้ไม่เกิน 2 ศูนย์)

BONUSพิเศษ
– Lifestyle Bonus  เงินโบนัสสำหรับท่องเที่่ยวและการใช้ชีวิตตามรูปแบบที่ท่านต้องการ
ฟรีสูงสุดถึง 42,000 บาทต่ิิอเดือน
–  รับโบนัสพิเศษ One time bonus เมื่อทำคุณสมบัติครบ
สูงสุดถึง 4,200,000 ล้านบาท

Bonus พิเศษ เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น
– ทริปท่องเที่ยวสุดหรูฟรี  ปีละ 3 ครั้ง
– นอกจากนั้นท่านยังมีโอกาสได้เป็นเจ้าของยนตกรมสุดหรู
Porshe มูลค่ากว่า 10 ล้าน
Lambogini มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท ฟรี

ที่นี่ที่เดียวที่กล้าให้ แจกจริง Unicity

“ยูนิซิตี้” โตอันดับหนึ่งของประเทศฟัน 2,500 ล้าน

LEADER TIME MAGAZINE : ถึงแม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะมีบริษัทในธุรกิจเครือข่ายกว่า 500 ราย แต่ในจำนวนนี้ทั้งหมดมีเพียง 13 บริษัทเท่านั้นที่เป็นบริษัทเครือข่ายคุณภาพและได้รับการยอมรับจากสังคมในวงกว้างและยินดีทุ่มเม็ดเงินเพื่อซื้อสินค้ากิน-ใช้ ในแต่ละเดือนอย่างมหาศาลส่งผลให้บริษัทเหล่านี้กลายเป็นบริษัทเครือข่ายผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดไว้ในมือนับพันล้าน/หลายพันล้านกันเลยทีเดียว

LEADER TIME MAGAZINE ได้จัดอันดับบริษัทเครือข่ายขายตรงที่มียอดขายระดับพันล้านประำจำปี 2552 มีทั้งสิ้น 13 บริษัท คิดเป็นมูลค่าตลาดรวม 46,545 ล้านบาท


หมายเหตุ MLM:Multi Level Marketing, SLM: Single Level Marketing, Binary: แบบจับคู่จ่าย

บริษัทเครือข่ายที่เติบโตสูงที่สุดอันดับหนึ่งปีนี้คือค่าย “ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย)” หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้อย่างไร!

แต่ถ้าคุณได้รู้ว่าในปี’52 ยูนิซิตี้ทำยอดขายถล่มทะลายสูงถึง 2,500 ล้านบาทแล้วคงเกิดอาการหนาวๆ ร้อนๆ กันถ้วนหน้า และยิ่งถ้าได้รู้ว่าในยอดขายในปี’51 ที่ผ่านมา “ค่ายยูนิซิตี้” มียอดขายอยู่เพียงแค่ 820 ล้านบาทเท่านั้น สรุปแล้วปีนี้ค่ายยูนิซิตี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 1,680 ล้านบาท เป็นตัวเลขการเติบโต “ข้ามปีที่เพิ่มขึ้น” อย่างมากมายมหาศาล ซึ่งบ่งบอกให้เห็นได้ว่าปีนี้แม่ทีมและสมาชิกนักธุรกิจยูนิซิตี้ทำงานกันเต็มกำลังความสามารถเพื่อสร้างสถิติหน้าใหม่ให้เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยกันเลยทีเดียว

Leader Time ยังวิเคราะห์ต่อไปว่า จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่าส่วนหนึงมาจาก “ระบบยูนิเพาเวอร์ (Unipower System)” โดยมีผู้นำระบบอย่าง “ชวิช คิม” ทำให้เกิดพลังช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตแบบทวีคูณทุกเดือนเชื่อว่าอันดับของยูนิซิตี้น่าจะขยับขึ้นอีก 1 อันดับจากปีที่แล้วขึ้นเป็นอันดับ 2 ของบริษัทธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายในประเทศบริษัทข้ามชาติ (Network Inter) ในที่สุด

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตอีกหลายปัจจัย ไม่ว่าเป็นวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร รวมถึงโปรโมชั่น กลยุทธ์ทางการตลาดที่แรงและโดนใจนักธุรกิจ และผลิตภัณฑ์ของยูนิซิตี้ที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมานี้เมื่อนำมาประกอบกันทำให้เกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดดของยูนิซิตี้ในปี 2552


รวบรวมโดย LEADER TIME MAGAZINE / *หน่วย : ล้านบาท
อ้างอิงข้อมูลตัวเลขปี 2549-2551 จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
และตัวเลขประมาณการปี 2552 จากผู้ประกอบการ

ข้อมูลข้างต้นอ้างอิงมาบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับยูนิซิตี้เท่านั้น ส่วนข้อมูลรายละเอียดของบริษัทอื่นๆ มีสรุปไว้ใน LEADER TIME MAGAZINE อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งเหมาะมากสำหรับนักธุรกิจเครือข่ายจะมีไว้เพื่อทำการอ้างอิงและปิดการขายได้ตลอดทั้งปี

ที่มา: LEADER TIME MAGAZINE ปีที่ 10 ฉบับที่ 110 เดือนมกราคม 2553

เปิดบัญชีเหล่าค่ายขายตรงระดับท็อปหลังปิดตลาดปีวัว แอมเวย์ยังคงผงาดครองแชมป์ รองลงมาเป็น มิสทิน, กิฟฟารีน ตามลำดับ เหล่าบริษัทหน้าใหม่ตบเท้าช่วยกันเขย่าวงการ ชี้แค่ 13 บริษัท จับกลุ่มฟันเงินเข้ากระเป๋าเฉียด 5 หมื่นล้าน

หลังจากต่อสู้ด้วย กลยุทธ์การตลาดมาหนึ่งปีเต็ม ในช่วงปีวัวที่ผ่านมา ถึงเวลาที่เหล่าบริษัทขายตรงน้อยใหญ่ต้องเปิดบัญชีรายรับมาอวดกันตามประสา คนรวย โดยดูเหมือนว่าท่ามกลาง เศรษฐกิจที่ซบเซาแต่วงการนี้กลับเฟื่องฟูแบบสวนกระแส แต่บริษัทใดจะสามารถเก็บเกี่ยวได้มากน้อยอย่างไร คงต้องดูกัน

> แอมเวย์ ครองแชมป์งดงาม

ยัง คงเป็นบริษัทขายตรงเบอร์หนึ่ง เช่นเดิม สำหรับ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่สามารถปิดยอด ขายปี 52 ที่ผ่านมา ได้อย่างเป็นเอกฉันท์ ด้วยตัวเลข 1.37 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อ มองไปที่การคว้าแชมป์ของแอมเวย์นั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรผิดคาดประการใด เนื่องจากบริษัทขายตรงยี่ห้อนี้ เป็นบริษัทที่ไร้คู่ชกที่จะต่อกรแบบสูสีมานาน

ด้วยความเป็นบริษัท ที่มาจากประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา หรือเปล่าที่ทำให้แอมเวย์เป็นที่นิยมชมชอบของเหล่าผู้บริโภคชาวไทย แต่สิ่งที่เด่นชัดนั่นก็คือการวางกลยุทธ์การตลาดที่มักมีอะไรมานำเสนออยู่ ตลอด โดยตลอดเวลาที่แอมเวย์เข้ามาสร้างฐานทัพในไทย บริษัทนี้ก็จะพยายามที่จะใช้สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ รวมถึงสื่อโทรทัศน์ ในการสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคโดยตลอด นี่อาจเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ แอมเวย์ครองแชมป์ด้านยอดขายมาอย่างยาวนาน

การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ใน ปีที่ผ่านมา อย่าง ARTISTRY ที่ได้ทำ การผุดผลิตภัณฑ์ ARTISTRY TIME DEFIANCE LIFTING EYE CREAM นวัตกรรมการลดเลือนริ้วรอย ผิวรอบดวงตา ที่บริษัทวางเป้ายอดขายทั้งปี 52 ไว้ที่ 80 ล้านบาท ซึ่งหากรวมกับผลิตภัณฑ์อื่นในหมวด ARTISTRY ก็จะดันยอดขายกลุ่มนี้ได้ถึง 3 พันล้านบาท

ไม่เพียงเท่านี้ แต่แอมเวย์ยังมีการ ฉลอง 75 ปี ผลิตภัณฑ์นิวทริไลท์ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ โดยได้ทำการจัดแถลงข่าว และ โหมโฆษณาตามช่องทางต่างๆ จนทำให้หมวดผลิตภัณฑ์นี้ เป็นอีกหนึ่งขุนพลสำคัญที่ดึงยอดขายของบริษัทขึ้น อย่าง เป็นประวัติการณ์

หากเทียบการเติบโตในปี 2551 แอมเวย์ปิดยอดขายอยู่เกือบ 1.1 หมื่น ล้านบาท ส่วนปี 2552 สามารถปิดยอด ได้ถึง 1.37 หมื่นล้านบาท หรือเทียบเป็นการเติบโตอยู่ที่ 17% และหากมองย้อนหลังไป บริษัทก็มียอดการขยาย ตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้หลายบริษัทที่ทำธุรกิจขายตรง รู้สึกเบื่อหน่ายกับการแข่งขันกับแชมป์ผู้นี้แล้วเหลือเกิน

> ดึงเพชราสร้างยอด เข้าป้ายเบอร์ 2

สร้าง ความฮือฮาไปทั่วสำหรับ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ มิสทิน ที่ทำการดึงนางเอกตลอดกาลอย่าง เพชรา เชาวราษฎร์ ซึ่งห่างหายจากวงการไปกว่า 30 ปี จากปัญหาทางสายตา ออกมาเล่นโฆษณาให้กับบริษัท ถึงแม้จะเป็นโฆษณาทางทีวีที่ค่อนข้างสั้นแต่มิสทินก็สามารถปลุกกระแสให้ผู้ บริโภคเกิดความสนใจบริษัทได้อย่างท่วมท้น

ไม่เพียงเท่านี้ ที่ทำให้มิสทินยืนหยัดอยู่บนแท่นอันดับสองของบริษัทขายตรงเมืองไทย ในเรื่องของยอดขาย แต่มิสทินยังเปลี่ยนกลยุทธ์จากเดิมที่มักโฆษณาผ่านสื่อเพื่อหาสมาชิกนักขาย มาเป็นโฆษณาสร้างแบรนด์รวมถึงการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของบริษัท ด้วยการดึงดารานักแสดงผู้มีชื่อเสียงมาเป็นพรี-เซ็นเตอร์ให้กับบริษัท

โดย ในปีที่ผ่านมา มิสทินปิดยอดขายอยู่ที่ 8.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 45% เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่ปิดยอดขายอยู่ที่ 6 พันล้านบาท

ทั้งนี้ จากการเติบโตที่กล่าวมา ที่ทำให้มิสทินเข้าป้ายเป็นที่สองยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ นั่นคือการออกแค็ตตาล็อกฟรายเดย์ ที่ทำให้การสั่งสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ เพราะผู้บริโภคมีความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น

> กิฟฟารีน เชิดหน้า รับเหรียญทองแดง

บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ภายใต้การกุมบังเหียนของ ผู้บริหารหญิง ที่กวาดรางวัลนักบริหาร มาทั่วสารทิศอย่าง พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ สามารถปิดยอดขายปีที่ผ่านมาได้อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท วิ่งแตะเข้าเส้นเป็นอันดับสามได้อย่างน่าภาคภูมิ

เนื่องจากบริษัทนี้ เป็นบริษัทขายตรงสัญชาติไทย ซึ่งทำการลุยตลาดอย่าง หนักมาตั้งแต่ต้นปี โดยเน้นไปที่การสร้างแบรนด์ให้เป็นแบรนด์ขายตรงสำหรับ คนรุ่นใหม่ผู้ร้อนวิชา โดยในช่วงปลาย ปี 52 ยังได้จัดโครงการสร้างแบรนด์ กิฟฟารีน ที่เปิดโอกาสให้เหล่านักศึกษา ในรั้วมหาวิทยาลัย ได้ส่งผลงานการสร้าง แบรนด์ชิงเงินรางวัลหลักแสน ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่กิฟฟารีนพยายามดึงคนรุ่นใหม่เข้าระบบขายตรงมาก ขึ้น

จากอัตราการเติบโต 10% ตามที่กล่าวมาในส่วนของยอดขายเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 ที่ทำได้ 3.9 พันล้านบาทนั้น ส่วนหนึ่งต้องยกผลประโยชน์การสร้างแบรนด์ ที่เป็นปัจจัยดึงสมาชิกหน้าใหม่เข้ามาเสริมทัพได้อย่างเป็นปรากฏการณ์ ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี ที่มีสมาชิกเกิดใหม่ถึง 1.8 แสนรหัส สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ดึงยอดขายให้กับบริษัทลูกหม้อไทย

> l4 บริษัทชิงท็อปไฟว์ ฝุ่นตลบ

ยัง คงแรงอย่างต่อเนื่อง สำหรับ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด ที่สามารถปิดตลาดปีโคได้ถึง 3.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 24% เมื่อเทียบกับปี 51 ที่ปิดตลาดที่ 2.8 พันล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากมายนักสำหรับขายตรงค่ายนี้

จาก ตัวเลขที่กล่าวมา ดันให้ซูเลียนกลายเป็นบริษัทอันดับที่สี่ในด้านยอดขาย ส่วนหนึ่งที่ทำให้ค่ายขายตรงนี้เข้ามายืนอยู่ที่อันดับสาม เพราะการเปิดตัวของเหล่าเอเจนซีที่มีกว่า 200 แห่งทั่วประเทศในปัจจุบัน และยังมีทีท่าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต นี่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ซูเลียนกลายเป็นยักษ์ตัวใหม่แห่งวงการ

ขยับ มาที่อันดับ 5 ของปี 52 ก็เป็นของ บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่สามารถปิดยอดขายได้อยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท เทียบอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% เมื่อเทียบกับปี 51 ที่ปิดได้อยู่ที่เกือบ 2.4 พันล้านบาท

ซึ่งเป็นการเติบโตที่ไม่มากนัก เนื่องจากปัญหาต่างที่รุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ และการเมือง จนทำให้การเติบโตเป็นไปไม่ได้ดั่งใจนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการขยายตัวที่ยอมรับได้สำหรับผู้บริหาร เนื่องจากคาดคะเนก่อนหน้านี้ไว้แล้วว่า การเติบโตในปี 52 คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก แต่ก็พยายามที่จะสร้างยอดให้มากว่าปีที่ผ่านมา

ตาม มาติดๆ กับบริษัทขายตรงข้ามชาติรายใหม่แห่งวงการ บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ที่สามารสร้างการเติบโตได้ถึง 200% คิดเป็นเงิน 2.5 พันล้านบาท โดยตัวเลขที่ปิดไว้ในปี 51 นั้นอยู่ที่ 820 ล้านบาท

ด้วยกลยุทธ์รวมถึงวิสัยทัศน์ ของเหล่าผู้นำที่ทำให้บริษัทนี้กระโดดแตะป้ายมาอยู่ที่อันดับ 6 ในปีที่ผ่านมา จนเริ่มส่งความสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ ว่าคงมีปีใดที่ขายตรงแบรนด์นี้ จะสามารถกลายเป็นบริษัทที่ทำให้ยักษ์ใหญ่รายเก่าๆ ต้องตกแท่นเลยก็เป็นได้

อีก หนึ่งบริษัทที่กระโดดเข้าป้ายอย่างน่าตกตะลึงนั่นคือ บริษัท เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด โดยในปี 2551 ทำยอดขายไว้ที่ 398 ล้านบาท แต่ในปี 52 ที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้ถึง 2 พันล้านบาทคิดเป็นอัตราการเติบโตได้ถึง 400% ซึ่งเป็นการสั่นสะเทือนวงการได้อีกครั้งของบริษัทหน้าใหม่

> อีก 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ชูคอติด 1 ใน 10

บริษัท นีโอไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กับการเป็นบริษัทขายตรง ขวัญใจมหาชน ที่สามารถสร้างอัตราการเติบโตได้ถึง 54% ปิดยอดขาย ปี 52 อยู่ที่ 1.85 พันล้านบาท โดยปี 2551 ปิดยอดไว้ที่ 215 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างดี ท่ามกลางเศรษฐกิจที่แปรปรวน

ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะการรุกตลาดเข้าสื่อมากขึ้น ทั้งยังได้มีการจัดตั้ง “นีโอ ทีวี” ที่เป็นช่องทางการเข้าถึงเหล่าสมาชิก รวมถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีขึ้น โดยบริษัทพยายาม ที่จะโหมทำตลาดช่องทางนี้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

อันดับ 9 เป็นของ บริษัท แสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด หรือ ที่รู้จักกันทั่วในนามของ “หมอเส็ง” ที่ได้ทำการทุ่มทุนสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่กว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นอาคารที่จะสร้างความครบวงจรให้เกิดขึ้นกับบริษัท ทั้งยังมีโรงงานในพื้นที่อีกด้วย

หมอเส็ง ขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จักมานานในการเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย ยาสมุนไพรต่างๆ อีกทั้งยังเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วไป จนดันยอดขายในปี 52 ให้ขึ้นไปแตะอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท เติบโตกว่าปี 51 ถึง 30% ซึ่งในปี 2551 มียอดขายอยู่ที่ 266 ล้านบาท

ส่วนอันดับสุดท้ายในตารางท็อปเท็น เป็นของ บริษัท ไลฟ์สไตล์ แปซิฟิค ริม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จำหน่ายยาสมุนไพรแบรนด์อินทรา ที่สามารถปั่นยอดในปี 52 ได้อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 50% เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่ปิดยอดไว้ที่ 585 ล้านบาท

> จับตาบริษัทพันล้าน

นอก เหนือจาก 10 อันดับในเรื่องของยอดขายที่เหล่าบริษัทขายตรงทำได้ในปีที่ผ่านมา ยังมีอีก 3 บริษัทที่มียอดขายในระดับพันล้าน ทั้งยังเป็นบริษัทที่น่าจับตามองในปี 53 นี้ นั่นคือ บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปิดตลาดปี 52 ไว้ที่ 1.47 พันล้านบาทมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 15% จากปี 51 ที่ปิดไว้ที่ 1.14 พันล้านบาท รองลงมาคือบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่จอเก๋าอย่าง บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่เปลี่ยนชื่อจากเดิมคือ “เจริญโอสถ” โดยปิดตลาดปีวัวที่ 1.2 พันล้านบาท โต 15% เมื่อเทียบกับปี 51 ซึ่งเป็น ผลมาจากการเปิดศูนย์จำหน่ายสินค้า ของบริษัท ภายใต้ชื่อ “จอยมาร์ท” ที่ทำให้สินค้าของบริษัทเข้าถึงผู้บริโภค มากขึ้น

บริษัท เอเจล เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทขายตรงเชื้อสายสหรัฐอเมริกา จัดเป็นบริษัทน้องใหม่สำหรับขายตรงไทยที่เข้ามาปักธงรบในประเทศไทยยังไม่ถึง 2 ปีดีก็สามารถทำยอดขายในหลักพันล้านเป็นที่เรียบร้อย โดยปิดไว้ที่ 1.1 พันล้านบาทในปี 52 โตกว่าปี 51 ถึง 130% ที่ปิดอยู่ที่ 448 ล้านบาท

ทั้งนี้ การขยายตัวของเหล่าบริษัทขายตรงดังที่กล่าวมา ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะการที่เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน จนส่งผลกระทบมาที่ประเทศ ไทย และทำให้คนตกงาน นำไปสู่การ หาธุรกิจที่มีรายได้แต่ไม่มีข้อจำกัดในการสมัครมากนัก จนทำให้ธุรกิจประเภทนี้ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา

นักธุรกิจเครือข่ายไทยที่มีรายได้สูงที่สุดของไทยและติดอันดับ5ของโลก

คุณรสา คำแบน สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของ “ยูนิซิตี้”

คุณรสา คำแบน สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของ “ยูนิซิตี้” เรื่อง Dream Car และ Super Car ของคุณรสา ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีในการส่งต่อ Happy Life Project ไปสู่ผู้คนจำนวนมากมาย

HiSoParty Celebrity Car – คุณรสา คำแบน

Celebrity Car – คุณรสา คำแบน – หลังจากที่ได้เปิดบ้านสัมภาษณ์พิเศษใน evo magazine ไปแล้ว ในครั้งนี้ HiSoParty Magazine Vol.6 No.6, May 2010 คอลัมน์ Celebrity Car: เปิดคอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษคุณรสา คำแบน สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของ “ยูนิซิตี้” เรื่อง Dream Car และ Super Car ของคุณรสา ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีในการส่งต่อ Happy Life Project ไปสู่ผู้คนจำนวนมากมาย

HiSoParty Magazine: “เมื่อคุณมีฝัน.. การออกเดินทางไปตามหาความฝันครั้งใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น เช่นเดียวกับคุณรสา สาวนักบริหารจากธุรกิจ Unicity ซึ่งเธอมี Dream Car เป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายของชีวิต และเป็นดั่งตัวแทนความสำเร็จจากหน้าที่การงานของเธอ

จากความหลงไหลในสัมผัสแห่งความงานของ Super Car บวกกับไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ที่เธอมักใช้เวลากับการขับรถเพื่อการผ่อนคลาย ทำให้วันนี้ Lamborghini Gallardo LP 560 – 4 Spyder ได้กลายมาเป็นรถคันโปรดที่สร้างความภูมิใจให้กับเธอได้ทุกเวลา”

Working
“ปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Unicity หลังเลิกงานส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลากับเรื่องการท่องเที่ยวและเรื่องรถ ถ้ามีเวลาก็มักจะขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด เพราะว่าชอบขับรถมาตั้งแต่เด็กๆ และสนุกกับการได้ตามหา Dream Car มาตลอด”

Dream Car
“Lamborghini Gallardo LP 560 -4 Spyder เป็นตัวเปิดประทุนปี 2010 ออพชั่นต่างๆ สั่งพิเศษเพื่อให้เหมาะกับสไตล์เรามากที่สุด เบาะเป็นลาย Chanel รถคันนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จในชีวิตการทำงานของเรา”

Woman VS Super Car
“เดี๋ยวนี้ผู้หญิงหันมาสนใจรถ Super Car กันค่อนข้างเยอะนะ เวลาขับรถเปิดประทุนแล้วลมปะทะตัวเรา มันเป็นเรื่องของ Freedom ที่ทำให้เราสนุกกับมัน”

ชมคำสัมภาษณ์ในรูปแบบวิดีโอคลิปใน HiSoParty.COM คลิกที่นี่

ติดตามอ่านฉบับเต็มได้ใน HiSoParty Magazine Vol.6 No.6, May 2010

HiSoParty Magazine เป็นหนังสือ Magazine สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงไฮโซของเมืองไทย มีเงินก็ลง magazine นี้ไม่ได้ไม่ใช่ไฮโซตัวจริง เชิญแวะเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ http://www.hisoparty.com

สำหรับนักธุรกิจยูนิซิตี้แนะนำให้ใช้หนังสือเล่มนี้ขายผลลัพธ์ได้เลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก HiSoParty.COM

ที่มา: คอลัมน์ Celebrity Car, Hiso Party Magazine Vol.6 No.6, May 2010

ถ้าชีวิตเลือกได้คุณอยากเป็นใคร?

ปัจจุบัน เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุคเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองมากที่สุดช่วงหนึ่งในหลาย ๆ ทศวรรษที่ผ่านมา แต่มีผู้คนนับล้าน ๆ ที่ยังคงพึ่งพาเช็คเงินเดือนหรือบัตรเครดิต เดือนต่อเดือน เพื่อให้พอชักหน้าถึงหลังได้

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ก็เพราะพวกเขาเหล่านั้นเลือกแผนผิดน่ะสิครับ เขาติดกับแผนที่เรียกว่า “แลกเวลากับเงิน” ท่านคงทราบดีนะครับว่ามันก็คือ “การทำงาน 1 วัน เพื่อเงินค่าจ้าง 1 วัน” นั่นเอง “ทำงาน 1 เดือน ได้ค่าจ้าง 1 เดือน” รู้สึกคุ้น ๆ ไหมครับ

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนล้างจานที่มีเงินเดือน 40,000 บาทต่อปี หรือเป็นแพทย์ผู้มีรายได้มากถึง 4 ล้านบาทต่อปี คุณก็ยังคงต้องแลกเวลา 1 หน่วย กับเงิน 1 หน่วยเหมือนกัน แปลว่าคุณมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเงินเดือน เดือนต่อเดือน นั่นเอง ดังนั้น จึงป่วยการที่จะพูดถึง “ความมั่นคงในงาน” เพราะหากคุณไปทำงานไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะคุณถูกให้ออกจากงาน เจ็บไข้ได้ป่วย บาดเจ็บ หรือเกษียณ คุณก็จะไม่ได้รับเงินเดือนอีกเลย แล้วคุณจะทำอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น

ความมั่นคงอยู่ที่ไหน?
คุณ จะหนีจากกับดักแห่งเวลาเพื่อเงินได้อย่างไร? ก็ด้วยการสร้างท่อส่งน้ำให้มีรายได้ต่อเนื่องอย่างไรล่ะครับ รายได้ต่อเนื่องนี้เกิดจากการทำงานเพียงครั้งเดียว แต่คุณจะมีรายได้ต่อเนื่องไม่ขาดสาย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมท่อส่งน้ำเพียงท่อเดียว จึงมีค่าเท่ากับเช็คเงินเดือนถึงพันใบ
ท่อส่งน้ำจะทำงานวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงไหน จะทำงานหรือไม่ก็ตามนี่สิครับที่เรียกว่าความมั่นคง เป็นความมั่นคงทางการเงินอย่างแท้จริง

คุณเป็นคนหาบน้ำหรือนักสร้างท่อน้ำ?
คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการหาบน้ำ ก็เหมือนกับการสร้างท่อส่งน้ำ เพราะเราสังเกตเห็นว่ามีคนหาบน้ำอยู่ถึงร้อยละ 99 เราจึงคิดว่าการหาบน้ำคือหนทางเดียวที่จะบันดาลทุกสิ่งให้ชีวิตเราและนั่น คือสาเหตุที่ใครบางคน ต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจในพลังของท่อส่งน้ำ เราอาจปฏิเสธเรื่องท่อส่งน้ำเพราะมันเป็นของแปลก เป็นสิ่งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ เราจึงเห็นว่าท่อส่งน้ำเป็นเรื่องประหลาดและเสี่ยงจัด ก็เราเติบโตขึ้นมาท่ามกลางคนหาบน้ำจน ๆ เลยคิดว่านั่นคือหนทางแห่งชีวิต

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ก็เพราะว่าการหาบน้ำ เป็นสิ่งที่ปู่ย่าตาทวดของเราทำกันมา และได้สอนให้เราทำนั่นเอง ในโลกของคนหาบน้ำ สิ่งที่คุณต้องทำเพื่อให้นำหน้าคนอื่นก็คือไปโรงเรียน เพื่อเรียนรู้การหาบน้ำ ทำงานหนัก เพื่อจะได้หาบน้ำด้วยถังใบใหญ่ขึ้น ลาออกจากบริษัทหาบน้ำ ก. เพื่อไปทำงานให้บริษัทหาบน้ำ ข. ที่ที่จะให้คุณหาบถังน้ำใบใหญ่ขึ้นอีก ทำงานมากขึ้นเพื่อที่จะได้หาบถังน้ำมากขึ้น ส่งลูกเข้ามหาวิทยาลัยหาบถังน้ำ เปลี่ยนงานจากการหาบถังน้ำเหล็กไปหาบถังน้ำพลาสติก แล้วไปหาถังน้ำดิจิตัล ฝันถึงวันที่คุณจะเกษียณจากงานหาบถังน้ำ และกว่าจะถึงวันนั้น สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ หาบถังน้ำต่อ ๆ ไป
แล้วคนหาบถังน้ำเล่า ได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน? ได้เพียงน้อยนิดเหลือเชื่อ  คนหาบน้ำจะต้องทำอย่างไร หากต้องการมีรายได้มากขึ้น?   เนื่องจากคนหาบน้ำรู้แต่เรื่องหาบน้ำ ดังนั้น จึงมีคำตอบแบบคนหาบน้ำ คือถ้าต้องการเงินเพิ่ม ก็ต้องหาบน้ำเพิ่มน่ะสิ!
“ฉันจะหางานหาบน้ำทำตอนเย็น และวันเสาร์อาทิตย์ด้วย” นักหาบน้ำผู้พ่อเอ่ย
“ฉันก็จะกลับไปหาบน้ำเหมือนเมื่อก่อนที่ฉันจะมีลูก” แม่นักหาบน้ำกล่าวเสริม
” ลูก ๆ ก็อาจจะไปหาบน้ำช่วงหลังโรงเรียนเลิก และในช่วงปิดเทอมก็ได้นะ” พ่อ-แม่นักหาบน้ำประกาศ  นั่นคือสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาทำอย่างนี้จริง ๆ ครับ แล้วได้ผลอย่างไรล่ะ

ความเข้าใจผิดเรื่องหาบถังน้ำใบใหญ่ขึ้น
คนหาบน้ำมักจะอ้างว่า การหาบถังน้ำใบใหญ่ขึ้น จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ดังนั้น คนหาบน้ำจึงบอกตัวเองเสมอว่า ทุกสิ่งจะดีขึ้นเอง หากเขาสามารถหางานที่ทำให้ได้หาบถังน้ำใบใหญ่ขึ้น

ถังใบใหญ่ขึ้นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา
ทุกคนย่อมมุ่งหวังที่จะเพิ่มขนาดถังน้ำของตน ไม่มีใครคิดที่จะปฏิเสธการขึ้นเงินเดือนประจำปี หรืองานที่มีรายได้สูงกว่าเดิม หากการหาบน้ำเป็นแหล่งรายได้เพียงแหล่งเดียวของคุณ ผมขอแนะนำให้คุณหาถังน้ำใบใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่คุณควรทำตามสามัญสำนึก

แต่ความจริงมีอยู่ว่า การหาบน้ำจะไม่ช่วยให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินได้เลย การหาบน้ำจะไม่ทำให้คุณและครอบครัวปลอดภัยและมั่นคงในชีวิต – ไม่ว่าคุณจะมีถังน้ำใบใหญ่แค่ไหนก็ตาม

ทำไมหรือ?
ก็เพราะว่าตราบใดที่คุณมีงานหาบน้ำ คุณยังต้องไปทำงานเพื่อให้ได้เงิน วันใดที่คุณหยุดหาบน้ำ วันนั้นคุณจะไม่มีรายได้

มีคนหาบน้ำมากมายที่เปลี่ยนสถานะจาก เศรษฐีข้างบ้าน ไปเป็น คนล้มละลายข้างบ้าน เพียงเพราะเขาละเลยที่จะสร้างท่อส่งน้ำในระหว่างที่เขายังสามารถหาบน้ำได้ ดังนั้น เมื่อถังน้ำของเขาเหือดแห้งเพราะอายุมากขึ้น เจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ ถูกปลดออกจากงาน หรือเกษียณอายุ ความเป็นอยู่ของพวกเขาก็ตกอับเช่นกัน

ที่ตลกกว่านั้นคือ แม้ร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ แต่ถังน้ำก็ไม่ได้คงทนต่อการถูกใช้งานหนักเสมอไป

เคยได้ยินเรื่องราวของทันตแพทย์ฝีมือดีคนหนึ่งไหมครับ เธอมีเวลาทำงานตามใจตัวเอง (เธอทำงานเพียงสัปดาห์ละ 3 วัน เพื่อจะได้ใช้วันหยุด 4 วันกับครอบครัว) เธอมีรายได้มากกว่าปีละ 4 ล้านบาทด้วยการทำงานที่เธอรักเพียงสัปดาห์ละ 3 วัน จึงเรียกได้ว่างานของเธอเป็น “งานหาบน้ำในฝัน” นั่นเอง

ทว่ามีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่ง เธอเริ่มมีอาการไขข้ออักเสบที่มือก่อนอายุ 40 ปี และเธอก็ไม่สามารถทำฟันได้อีก ทุกวันนี้เธอสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยใกล้บ้าน และมีรายได้เพียง 1/3 ของรายได้เก่า งานในฝันของเธอหายวับไปโดยที่ไม่ใช่ความผิดของเธอสักนิด

คุณพอจะนึกออกแล้วใช่ไหมครับ เวลาที่ผมพูดว่างานหาบน้ำที่มั่นคงนั้นไม่มีจริงในโลก
คุณเห็นแล้วใช่ไหมครับว่าคนหาบน้ำนั้นเสี่ยงอย่างไร การหาบน้ำนั้นไม่มีความมั่นคงเอาเสียเลย
ผู้ที่ตระหนักในข้อจำกัดของการหาบน้ำตั้งแต่เริ่มแรก จะต้องคิดสร้างระบบที่จะทำให้เขามีรายได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะทำงานมากน้อยแค่ไหน
เพราะท่อส่งน้ำคือสายชีวิตของเขา ท่อส่งน้ำยังคงทำเงินต่อไป แม้ถังน้ำจะเหือดแห้งไปแล้วก็ตาม

เวลาเป็นเงินเป็นทอง
ที นี้ผมจะบอกความลับอะไรบางอย่างกับคุณ การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เป็นกุญแจสำคัญที่จะไขปริศนาว่าทำไม่คนที่ประสบความสำเร็จ จึงมีอะไร ๆ มากกว่า ทำอะไร ๆ ได้มากกว่า และได้รับอะไร ๆ มากกว่าผู้อื่น คุณคิดว่าบิลล์ เกตส์ จะกลับบ้านเวลา 5 โมงเย็นทุกวัน แล้วนั่งดูโทรทัศน์อีก 7 ชั่วโมงเหมือนกับคนอเมริกันทั่ว ๆ ไป หรือเปล่าครับ? ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น

มีบทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล กล่าวว่ากลุ่มผู้ทำรายได้สูงสุด 10%
ในทวีปอเมริกาเหนือ ทำงานโดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 52 ชั่วโมง ในขณะที่กลุ่มผู้ทำรายได้ต่ำสุด 10%
ทำงานเพียงสัปดาห์ละ 45 ชั่วโมง

ไม่ เพียงแต่กลุ่ม 10% แรกที่มีชั่วโมงทำงานยาวนานกว่าเท่านั้น พวกเขายังทำงานด้วยวิธีที่ฉลาดกว่าอีกด้วย! หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขาไม่เอาเวลาไปแลกกับเงินเหมือนอย่างคนทั่วไป คุณจะไม่มีวันเดินเข้าร้านสะดวกซื้อแล้วพบไมเคิล จอร์แดน ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ขายล็อตเตอรี่หรือเบียร์อย่างแน่นอน คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนในทุกอาชีพ จะหวงแหนและเห็นคุณค่าของเวลาของเขา และจะฉวยโอกาสทุกโอกาส
เพื่อผ่อนแรงด้วยเวลาที่เขามีอยู่

ถ้าไม่คิดแคบ ๆ ก็คงจะดีกว่านี้
คน ชอบถามผมว่า ทำไมพวกเขาจะต้องเสียแรงและเวลาในการสร้างท่อส่งน้ำด้วย ก็ในเมื่อตอนนี้ ทุกอย่างก็กำลังไปได้ดีอยู่แล้ว พวกเขาบอกว่า เขาสมควรจะได้พักผ่อนสบาย ๆ หลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันในที่ทำงาน พวกเขาต้องการให้รางวัลตัวเองด้วยการเอนหลังในเก้าอี้นอนสบาย ๆ และดูโทรทัศน์จนกว่าจะถึงเวลาเข้านอน

“ชีวิตก็ดีอยู่แล้วนี่ครับ” พวกเขาบอกผม “มีงานดีๆ ทำ มีเงินฝากในธนาคาร ลูกๆ ก็ได้เล่าเรียนหนังสือในโรงเรียนดีๆ อยู่แล้ว จะแกว่งเท้าไปหาเสี้ยนทำไม”

และนั่นคือเวลาที่ผมบอกพวกเขาว่า ไม่มีเวลาไหนอีกแล้วที่จะดีไปกว่านี้ที่จะสร้างท่อส่งน้ำของพวกเขา ในขณะที่ทุกสิ่งกำลังดำเนินไปด้วยดีนี่แหละ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหรือครับ ก็เพราะเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป ก็อาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้

ผมจะเล่าเรื่องตลกเก่าแก่ให้พวกเขาฟัง เป็นเรื่องของชายผู้หนึ่งซึ่งอยู่บนชั้นที่ 30 ของโรงแรมหรูหราแห่งหนึ่ง เขาเปิดม่านบังตาออกและเปิดหน้าต่างเพื่อจะได้ชื่นชมทิวทัศน์ภายนอก ขณะที่เขาโน้มตัวออกนอกหน้าต่าง เขาก็ประหลาดใจที่เห็นชายผู้หนึ่ง ร่วงลงมาผ่านห้องของเขาไป

“คุณเป็นยังไงบ้าง” เขาตะโกนถามชายที่กำลังตกลงไปนั้น “ตอนนี้ยังสบายดี” ชายผู้นั้นตอบกลับมา

เรื่องของเรื่องก็คือ มีคนหาบน้ำหลายรายในโลกนี้ ที่กำลังอยู่อย่างสบายดีจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ แต่เขาไม่สามารถลอยตัวอยู่ได้ตลอดไป ตราบใดที่คนเรายังใช้วิธีแลกเปลี่ยนเวลากับเงินตรา ก็ยังไม่มีความปลอดภัยใด ๆ ในชีวิต เป็นเพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะเมื่อพวกเขาไม่สามารถให้เวลาในการทำงาน อาจจะเนื่องจากป่วย หรือบาดเจ็บ หรือถูกให้ออกจากงาน เขาก็จะไม่ได้รับเงินเดือนอีก

สำหรับคนหาบน้ำแล้ว การที่ไม่ได้รับเงินเดือน ก็หมายถึงความไม่มั่นคงในชีวิตนั่นเอง

หนังสือเรื่อง “เงินทองไหลมาเทมา(ตามท่อ)” จะปูพื้นฐานเพื่อปรับเปลี่ยนความคิด
ว่าทำไมเราจึงต้องมาสร้างท่อส่งน้ำ เมื่ออ่านจบ คุณจะสามารถนำแนวความคิดนี้ไปใช้
เพื่อก้าวกระโดดจากการหาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ไปสู่การลงมือสร้างธุรกิจของคุณเอง
แต่จะทำอย่างไรให้สำเร็จและลงทุนน้อยที่สุด?”